เสียงก็คือ อากาศที่ถูกอัดจนเป็นคลื่นนั่นเอง พออากาศถูกแรงดันอัดไปเบียดกับไอ้อากาศข้างๆมันก็ปูดขึ้นมา พอมันคลายตัวมันก็ปูดลง ก็เกิดเป็นรูปคลื่นแบบเดียวกับคลื่นในน้ำนั่นแหละครับ ใครอยากเห็นก็เอาน้ำใส่กาละมังแล้วลองหย่อนก้อนหินเล็กๆลงไปตรงกลาง ก็จะเห็นคลื่นที่เกิด รวมทั้งเวลามันสะท้อนขอบกาละมัง ก็จะได้เห็นทิศทางเวลาคลื่นกระทบวัตถุที่เป็นทรงโค้ง (ทางคณิตศาสตร์เค้าเรียกรูปทรง parabola กระมัง) ทีนี้พอคลื่นอากาศวิ่งมาเข้าในโพรงหูเรา ไปกระทบแก้วหูให้สั่น แล้วเส้นประสาทก็รับแรงสั่นนั้น ส่งไปให้สมองเราประมวลผล ออกมาว่าเป็นเสียงอะไรตามที่สมองเราเคยบันทึกไว้
ทีนี้การเดินทางของเสียง ลองนึกภาพเรือกำลังไหลไปข้างหน้าตามคลื่นก็แล้วกัน จากจุดเริ่มต้นตรงกลาง ก็ไหลโค้งขึ้นไปข้างบนจนถึงยอดคลื่นแล้วก็ไหลโค้งลงไปจนถึงก้น จากนั้นก็โค้งกลับมาที่ระยะเดิม จะเห็นได้ว่าไอ้สองโค้งนั่น พอเอามาพลิกบรรจบกันก็จะได้เป็นรูปวงกลมพอดี (ซึ่งจริงๆก็ไม่ได้กลมเป๊ะ แต่วัดเป็นองศา ได้เช่นเดียวกับวงกลมครับ) องศาที่ว่าก็คือค่าของ เฟส (phase) นั่นเอง
(เฟส = ความสัมพันธ์ของคลื่นเสียงต่อเวลา คิดเป็นองศา)
เราวัดอัตราความถี่ของรอบคลื่นที่มันไหลไปตามเวลา ตั้งแต่เริ่มต้นกำเนิดเสียง เป็นกี่รอบต่อวินาที ให้ชื่อค่าของหน่วยที่วัดได้เป็น Hz ครับ
20 Hz = 20 รอบต่อวินาที ( cps = cycle per second )
เรื่องน่ารู้
- ความเร็วของคลื่นเสียงที่วิ่งไปในอากาศอยู่ที่ 1130 ฟุต/วินาที หรือ 344 เมตร/วินาที ที่อุณหภูมิ 59 องศาฟาเรนท์ไฮน์ หรือ 15 องศาเซลเซียส
- คลื่นเสียงกับคลื่นไฟฟ้ามีรูปแบบที่คล้ายกัน จะเรียกว่าเหมือนกันก็ได้เพราะฉะนั้น ในระบบเสียงจึงนำความรู้ข้อนี้ มาใช้ในการแปลงพลังเสียงเข้ามาทำงานปรุงแต่ง ผ่านเครื่องไม้เครื่องมือ ในระบบอิเลคทรอนิคส์ได้จ้า
ปล.อาจารย์ พี่ๆ ผู้รู้ทุกท่าน อยากจะต่อยอดความรู้ที่ช่องความเห็น ก็ลุยได้เลยนะครับ ยินดีต้อนรับครับ :)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น